บทสวดมนต์ต่างๆ ล้วนแล้วกล่าวถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ตัวผู้เขียนเองจะขวนขวายหาคำแปลเสมอ ว่าบทที่เราสวดนั้นท่านตรัสสอนเรื่องอะไร สวดไปพิจารณาไป แล้วจะพบว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าล้วนแต่เป็นเรื่องจริง ตรัสสอนมา 2,500 กว่าปีแล้ว แต่ทันยุคทันสมัยเสมอ ในบทสวดมีแต่คำพูดที่ดี เป็นมงคล เหมือนเป็นการอวยพรอวยชัยให้กับตัวเอง อีกทั้งภาษาบาลีเป็นภาษาที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
มาดูบทสวดมนต์สำหรับคนที่เคยทำแท้ง บางตำราบอกให้สวด บทปัตติทานะคาถา และ บทกะระณียะเมตตะสุตตัง โดยทั้ง 2 บทนี้ ผู้เขียนจำแนก (เอาเอง จากการค้นหา และดูจากคำแปล) ว่าเป็นพระคาถาในหมวดหมู่เจริญเมตตา แผ่ส่วนบุญอันเกิดจากการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ให้แก่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมุ่งเน้นที่เทวดา สรรพสัตว์ต่างๆ และสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มี สิ่งใดที่ไม่มีพระพุทธเจ้าจะไม่ตรัสไว้
สรุปทั้ง 2 บทนี้สวดแล้วน่าจะให้อานุภาพในเรื่องของความเป็นที่รักของทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา และการแผ่เมตตาเอง ก็คือการส่งความรัก ความปราถนาดีไปยังผู้อื่น เป็นสิ่งที่เราชาวพุทธควรปฏิบัติอยู่แล้วในทุกๆวัน ให้คิดภาพเวลาที่เราต่อเทียน ยิ่งต่อก็ยิ่งสว่างไปทั่ว บุญของเราไม่มีวันหมด ยิ่งให้ยิ่งได้
บทแรก "บทปัตติทานะคาถา" สวดสำหรับตอนทำวัตรเช้า บทนี้น่าจะมาจากครูบาจารย์ เพราะยังไม่เห็นหลักฐานอ้างอิงว่ามาจากพระไตรปิฎก (ถ้าผิดพลาดประการใดฝากคุณๆแก้ไขให้เลย)
บทปัตติทานะคาถา
( นำ ) หันทะมะยัง ปัตติทานะคาถาโย ภะณามะ เส ฯ
( รับ ) ยาเทวะตา สันติ วิหาระวาสินี ถูเป ฆะเร โพธิฆะเร ตะหิง ตะหิง
ตา ธัมมะทาเนนะ ภะวันตุ ปูชิตา โสตถิ กะโรนเตธะ วิหาระมัณฑะเล
เถรา จะ มัชฌา นะวะกา จะ ภิกขะโว สารามิกา ทานะปะตี อุปาสะกา
คามา จะ เทสา นิคะมา จะ อิสสะรา สัปปาณะภูตา สุขิตา ภะวันตุ เต
ชะลาพุชา เยปิ จะ อัณฑะสัมภะวา สังเสทะชาตา อะถะโวปะปาติกา
นิยยานิกัง ธัมมะวะรัง ปะฏิจจะ เต สัพเพปิ ทุกขัสสะ กะโรนตุ สังขะยัง ฯ
ฐาตุ จิรัง สะตัง ธัมโม ธัมมัทธะรา จะ ปุคคะลา สังโฆ โหตุ สะมัค โค วะ อัตถายะ จะ หิตายะ จะ
อัมเห รักขะตุ สัทธัมโม สัพเพปิ ธัมมะจาริโน วุฑฒิง สัมปาปุเณยยามะ ธัมเม อะริยัปปะเวทิตา ฯ
ปะสันนา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน พุทธะสาสะเน สัมมา ธารัง ปะเวจฉันโต กาเล เท โว ปะวัสสะตุ
วุฑฒิภาวายะ สัตตานัง สะมิทธัง เนตุ เมทะนิง มาตา ปิตา จะ อัตระชัง นิจจัง รักขันติ ปุตตะกัง
เอวัง ธัมเมนะ ราชาโน ปะชัง รักขันตุ สัพพะทา ฯ
คำแปล
เทพยดาทั้งหลายเหล่าใด มีปกติอยู่ในวิหาร สิงสถิตที่เรือนพระสถูป ที่เรือนโพธิ์ ในที่นั้น ๆ เทพยดาทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้อันเราทั้งหลายบูชาแล้วด้วยธรรมทาน ขอจงทำซึ่งความสวัสดี ความเจริญในมณฑลวิหารนี้
พระภิกษุทั้งหลายที่เป็นเถระก็ดี ที่เป็นปานกลางก็ดี ที่เป็นผู้บวชใหม่ก็ดี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ที่เป็นทานาธิบดีก็ดี พร้อมด้วยอารามิกชนก็ดี ชนทั้งหลายเหล่าใด ที่เป็นชาวบ้านก็ดี ที่เป็นชาวต่างประเทศก็ดี ที่เป็นชาวนิคมก็ดี ที่เป็นอิสระ เป็นใหญ่ก็ดี ขอชนเหล่านั้นจงเป็นผู้มีสุขเถิด
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นชลาพุชะกำเนิดก็ดี ที่เป็นอัณฑชะกำเนิดก็ดี ที่เป็นสังเสทะชะกำเนิดก็ดี ที่เป็นอุปะปาติกะกำเนิดก็ดี สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นได้อาศัยซึ่งธรรมอันประเสริฐเป็นนิยานิกธรรม ประกอบในอันนำผู้ปฏิบัติให้ออกไปสังสารทุกข์ จงกระทำซึ่งความสิ้นไปพร้อมแห่งทุกข์เถิด
ขอธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายจงตั้งอยู่นาน ขอบุคคลทั้งหลายผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมจงดำรงอยู่นาน ขอพระสงฆ์จงมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ในอันทำซึ่งประโยชน์และสิ่งอันเกื้อกูลเถิด ขอพระธรรมจงรักษาไว้ซึ่งเราทั้งหลาย แล้วจงรักษาไว้ซึ่งบุคคลผู้ประพฤติซึ่งธรรมแม้ทั้งปวง ขอเราทั้งหลายพึงถึงพร้อมซึ่งความเจริญในธรรม ที่พระอริยเจ้าประกาศไว้แล้ว
ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ขอฝนทั้งหลายจงหลั่งลงตกต้องตามฤดูกาล ขอฝนจงนำความสำเร็จมาสู่พื้นปฐพี เพื่อความเจริญแก่สัตว์ทั้งหลาย มารดาและบิดา ย่อมรักษาบุตรที่เกิดในตนเป็นนิจ ฉันใด ขอพระราชาจงปกครองประชาชนโดยชอบธรรมในกาลทุกเมื่อฉันนั้น ตลอดกาล
--------------------------------------
และบทที่ 2 นั่นคือ "บทกะระณียะเมตตะสุตตัง" บทนี้สวดตอนกลางคืน ก่อนนอน เล่าประวัติสักนิดแล้วกัน เรื่องมีว่า สมัยหนึ่งจวนเข้าพรรษา ภิกษุจำนวนหนึ่งกราบทูลลาพระพุทธเจ้า เพื่อไปอยู่จำพรรษาในป่าลึกแห่ง เหล่ารุกขเทวดาคิดว่าพระคุณเจ้าคงพักชั่วคราว ไม่กี่วันก็จะไป จึงพากันลงมาอยู่บนพื้นดินเพื่อถวายความเคารพแก่พระสงฆ์
แต่เมื่อรู้ว่าพระคุณเจ้าจะอยู่ที่ป่านี้ตลอดพรรษา จึงปรึกษากันว่าพวกเราเห็นจะต้อง "ขับไล่" พระท่านไป ไม่เช่นนั้นจะลำบากมากที่จะต้องมาอยู่บนพื้นดินอย่างนี้ จึงพร้อมใจกันหลอกหลอนภิกษุที่ไปนั่งกรรมฐานอยู่ใต้ต้นไม้บ้าง ในถ้ำบ้าง จนท่านอยู่ไม่เป็นสุข เพราะเป็นพระก็ไม่ได้หมายความว่าไม่กลัวผี จึงตกลงกันกลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ
พระพุทธองค์ตรัสว่า "พวกเธอมิได้เอาอาวุธติดตัวไปด้วย จึงถูกผีหลอกหลอน" เมื่อกราบทูลถามว่า อาวุธชนิดไหน พระองค์ก็ตรัสว่า อาวุธคือความเมตตา ว่าแล้วก็ทรงสวดกรณียเมตตสูตรให้ฟัง แล้วมีพุทธบัญชาให้กลับไปยังป่านั้นอีก และให้สวดทันทีที่เดินเข้าป่า และสวดทุกวัน
ภิกษุเหล่านั้นก็ทำตามพุทธโอวาท บรรดาผีสางคางแดงทั้งหลายได้ยินบทสวด ก็มีจิตใจอ่อนโยน รักใคร่ในพระสงฆ์ ไม่หลอกหลอน ทำให้ท่านสามารถอยู่ในป่าได้อย่างผาสุก พระภิกษุได้สัปปายะ เจริญธรรมสำเร็จอรหันตผลถ้วนทั่วกัน
เพราะเหตุว่าเนื้อหาของบทสวดเป็นการแผ่เมตตาความรัก ปรารถนาดีแก่เหล่าเทวดาในป่าและแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายซึ่งท่านก็จะมีไมตรีจิตตอบและถวายการอารักขาให้ผาสุก
บทกะระณียะเมตตะสุตตัง
(นำ) หันทะ มะยัง ปัตติทานะ คาถา โย ภะณามะ เส ฯ
(รับ) ยา เทวะตา สันติ วิหาระวาสินี
ถูเป ฆะเร โพธิฆะเร ตะหิง ตะหิง ตา ธัมมะทาเนนะ ภะวันตุ ปูชิตา
โสตถิง กะโรนเตธะ วิหาระมัณฑะเล เถรา จะ มัชฌา นะวะกา จะ ภิกขะโว
สารามิกา ทานะปะตี อุปาสะกา คามา จะ เทสา นิตะมา จะ อิสสะรา
สัปปาณะภูตา สุขิตา ภะวันตุ เต ชะลาพุชา เยปิ จะ อัณฑะสัมภะวา
สังเสทะชาตา อะถะโวปะปาติกา นิยยานิกัง ธัมมะวะรัง ปะฏิจจะ เต
สัพเพปิ ทุกขัสสะ กะโรนตุ สังขะยัง ฯ ฐาตุ จิรัง สะตัง ธัมโม
สังโฆ โหตุ สะมัคโค วะ อัมเห รักขะตุ สัทธัมโม วุฑฒิง สัมปาปุเณยยามะ
ปะสันนา โหนตุ สัพเพปิ สัมมา ธารัง ปะเวจฉันโต วุฑฒิภาวายะ สัตตานัง
มาตา ปิตา จะ อัต์ระชัง เอวัง ธัมเมนะ ราชาโน ธัมมัทธะรา จะ ปุคคะลา
อัตถายะ จะ หิตายะ จะ สัพเพปิ ธัมมะจาริโน ธัมเม อะริยัปปะเวทิเต ฯ
ปาณิโน พุทธะสาสะเน กาเล เทโว ปะวัสสะตุ สะมิทธัง เนตุ เมทะนิง
นิจจัง รักขันติ ปุตตะกัง ปะชัง รักขันตุ สัพพะทา ฯ
แปล
กิจอันใดอันพระอริยเจ้า บรรลุบทกระทำบำเพ็ญแล้ว กิจอันนั้น กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์พึงกระทำบำเพ็ญ กุลบุตรนั้นพึงเป็นผู้อาจหาญ ซื่อตรง เป็นผู้ว่าง่าย อ่อนโยน ไม่เย่อหยิ่ง เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้เลี้ยงง่าย เป็นผู้มีกิจธุระน้อย ประพฤติเบากายจิต เป็นผู้มีอินทรีย์อันสงบระงับแล้ว มีปัญญา เป็นผู้ไม่คะนอง ไม่พัวพันในสกุลทั้งหลาย วิญญูชน ติเตียนชนอื่นทั้งหลายได้ด้วยกรรมอันใด ไม่พึงประพฤติกรรมอันนั้นเลย
ขอสัตว์ทั้งปวง จงเป็นผู้มีสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์มีชีวิตทั้งหลาย เหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่ ยังเป็นผู้สะดุ้ง(คือมีตัณหา) หรือเป็นผู้มั่นคง (ไม่มีตัณหา) ทั้งหมดไม่เหลือ เหล่าใดเป็นทีฆชาติหรือโตใหญ่ หรือปานกลาง หรือต่ำเตี้ย หรือผอม หรืออ้วนพี เหล่าใดที่เราเห็นแล้ว หรือมิได้เห็นก็ดี ที่เกิดแล้ว หรือกำลังแสวงหาภพอยู่ก็ดี ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น จงเป็นผู้มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์อื่นไม่พึงข่มเหงสัตว์อื่น ไม่พึงดูหมิ่นอะไรๆ เขา ในที่ใดๆ เลย
ไม่ควรปรารถนาทุกข์แก่กันและกัน เพราะความกริ้วโกรธ หรือความคุมแค้น มารดาถนอมบุตรคนเดียวผู้เกิดในตน ด้วยยอมสละชีวิตของตนได้ ฉันใด พึงเจริญเมตตา มีในใจ ไม่มีประมาณ ในสัตว์ทั้งหลาย แม้ฉันนั้น บุคคลพึงเจริญเมตตา มีในใจ ไม่มีประมาณ ไปในโลกทั้งสิ้น ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง เป็นธรรมอันไม่คับแคบ ไม่มีเวร ไม่มีศัตรู
ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น ยืนอยู่ก็ดี เดินไปก็ดี นั่งแล้วก็ดี นอนแล้วก็ดี เป็นผู้ปราศจากความง่วงนอนเพียงใด ก็ตั้งสติอันนั้นไว้เพียงนั้น บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวกิริยาอันนี้ว่า เป็นพรหมวิหารในพระศาสนานี้ บุคคลผู้มีเมตตา ไม่เข้ายึดถือทิฏฐิ เป็นผู้มีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยทัศนะ ( คือโสดาปัตติมรรค) นำความหมกมุ่นในกามทั้งหลายออก ย่อมไม่ถึงความนอน(เกิด) ในครรภ์อีก โดยแท้ทีเดียว