วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

ผลบุญ-กรรม ของหญิงทำแท้ง

เรื่องมีอยู่ว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง ซึ่งตอนนี้ท่านก็มรณะภาพไปนานแล้ว ตั้งแต่ 2535 ท่านมีชื่อเสียงในด้านการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน พอท่านละสังขารไป ร่างกายของท่านไม่เน่าเปื่อย สามารถไปกราบไหว้ได้

วันหนึ่งขณะที่ท่านนอนภวนาตามปกติ ได้มีนิมิตลอยมาให้เห็นไม่ใช่ทิพยจักขุญาณ ในสำนักพญายมท่านเห็น หญิงคนนึ่งผิวขาว ร่างท้วม หน้าตาอิ่มเอิบ อายุ 42 ปี เธอตายกลายเป็นวิญญาณ เจ้าหน้าที่พามาสำนักพญายม พร้อมวิญญาณเด็กเล็กคนหนึ่ง เล็กมาก อยู่ในสภาพนอน

ท่านพญายมก็ถามหญิงคนนั้นว่า แม่หนูเธอทำแท้งหรือ ? เธอรับว่าใช่เจ้าค่ะ ท่านถามว่า เมื่อทำแล้ว หลังจากนั้นทำบุญอะไรบ้าง ?

เธอบอกว่าที่จำได้ดีเพราะทำเป็นประจำคือ บูชาพระ ว่านะโม 3 จบ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง และสวดอิติปิโสภะคะวา แล้วกรวดน้ำอุทิศให้ลูกที่ทำแท้ง ขออย่าจองเวรจองกรรมกันเลย เมื่อถึงปีก็เป็นเจ้าภาพบวชพระทุกปี อุทิศส่วนกุศลให้ลูกที่ทำแท้ง

เธอพูดได้ชัดเจน ชัดถ้อย ชัดคำ ไม่เหมือนรายอื่นๆ ที่พูดไม่ค่อยเต็มเสียง และมีมากรายไม่พูดเลย พญายมท่านบอกว่า บุญเธอมีมากและเด็กก็ไม่ได้จองเวรเธอ เธอไปรับผลความดีก่อน คือไปสวรรค์

เมื่อเธอปลอดโทษแล้ว ผลบุญก็ตอบสนองเธอ คือมีรูปสวยทันที เครื่องแต่งกายสวยงามมาก แพรวพราวเป็นระยับ ในนิมิตท่านว่า มีโอกาสคุยกับเธอถึงความเป็นมาต่างๆ เธอเล่าให้ฟังว่า เมื่อเธออายุ 17 ปี พี่สาวแต่งงานได้สองปี คลอดบุตร กำลังอยู่ไฟ พี่เขยเธอเข้าห้องผิด ไปเข้าห้องเธอเข้า เธอเห็นใจพี่เขย ขณะที่พี่สาวกำลังอยู่ไฟ พี่เขยคงเปลี่ยวใจ จึงอณุญาตให้เข้าห้องผิดได้เป็นประจำ

เวลาผ่านไป 6 เดือนเศษ ผลของการเปิดห้องให้พี่เขย เลยเกิดตั้งครรภ์ขึ้มมาได้สองเดือน เมื่อเห็นท่าเรื่องจะบานปลาย จึงร่วมมือกับพี่เขยหายาขับเลือดอย่างแรง มีความร้อนสูง กินยานั้นเข้าไปสองครั้ง เด็กเลยไหลออกมา แต่เมื่อฟังผู้ใหญ่พูดกันว่าคนทำแท้งนั้นบาปมากเพราะฆ่าเด็กในครรภ์

จึงตั้งใจบูชาพระและสวดมนต์ทุกวัน เมื่อสวดจบแล้วก็นั่งหลับตานึกถึงลูกที่ตาย ขอให้มารับส่วนบุญและไม่จองเวร อ้อนวอนขอให้พระพุทธเจ้าช่วย ทำอย่างนี้เป็นปกติทุกวัน เมื่อถึงฤดูกาลบวชพระก็เป็นเจ้าภาพบวชพระให้ปีละองค์ทุกปี อุทิศให้ลูก ต่อมา อายุ 42 ปี 3 เดือน เธอป่วยด้วยโรคทางเดินอาหาร

ก่อนตายเธอนึกถึงพระพุทธรูปที่เคยบูชา นึกถึงการใส่บาตร นึกถึงการบวชพระ แล้วแต่จังหวะไหนจะนึกอะไรได้ ที่มั่นใจจริงๆคือ พระพุทธรูปที่บูชา และภาพพระที่บวช เมื่อตอนตาย มีคน 4 คนไปรับ ตอนนั้นเห็นพระพุทธรูปที่เคยบูชาลอยมา องค์ใหญ่กว่าที่เคยบูชา พระพุทธรูปท่านพูดว่า พาเขาไปเถอะ ฉันไปด้วย แล้วท่านก็ลอยนำหน้าไป

เมื่อถึงพญายมท่านก็ยังลอยอยู่ตลอดเวลาการสอบสวน เมื่อพญายมสอบสวนเสร็จ ภาพพระพุทธรูปจึงหายไป เมื่อถามเธอว่า เธอจะไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน เทวดาที่เรียกว่าเทวทูตที่จะนำเธอไปส่ง ท่านตอบแทนเธอว่า ไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วท่านก็พาเธอไป

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

บทสวดมนต์สำหรับคนทำแท้ง

สำหรับตัวผู้เขียนเองในตอนแรกไม่เข้าใจว่า เราจะได้อะไรจากการสวดมนต์ พอจากที่ได้สวดมาก็พบว่า เป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง ได้สมาธิระดับไหนอันนี้ตอบไม่ได้ขึ้นอยู่กับคน ถ้าสวดแล้วเห็นว่าใจวอกแวกออกไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ ทุกครั้งที่ใจคิด มีสติระลึกรู้ได้ ก็ได้สมาธิระดับวิปัสสนา เพราะเวลาที่สวดมนต์นั้น เราต้องรู้ว่าอักขระหรือตัวหนังสือที่เรากำลังจะท่องนั้นคือตัวอะไร และเวลาสวดมนต์ แนะนำให้สวดออกเสียงจะดีที่สุด

บทสวดมนต์ต่างๆ ล้วนแล้วกล่าวถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ตัวผู้เขียนเองจะขวนขวายหาคำแปลเสมอ ว่าบทที่เราสวดนั้นท่านตรัสสอนเรื่องอะไร สวดไปพิจารณาไป แล้วจะพบว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าล้วนแต่เป็นเรื่องจริง ตรัสสอนมา 2,500 กว่าปีแล้ว แต่ทันยุคทันสมัยเสมอ ในบทสวดมีแต่คำพูดที่ดี เป็นมงคล เหมือนเป็นการอวยพรอวยชัยให้กับตัวเอง อีกทั้งภาษาบาลีเป็นภาษาที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก

มาดูบทสวดมนต์สำหรับคนที่เคยทำแท้ง บางตำราบอกให้สวด บทปัตติทานะคาถา และ บทกะระณียะเมตตะสุตตัง โดยทั้ง 2 บทนี้ ผู้เขียนจำแนก (เอาเอง จากการค้นหา และดูจากคำแปล) ว่าเป็นพระคาถาในหมวดหมู่เจริญเมตตา แผ่ส่วนบุญอันเกิดจากการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ให้แก่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมุ่งเน้นที่เทวดา สรรพสัตว์ต่างๆ และสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มี สิ่งใดที่ไม่มีพระพุทธเจ้าจะไม่ตรัสไว้

สรุปทั้ง 2 บทนี้สวดแล้วน่าจะให้อานุภาพในเรื่องของความเป็นที่รักของทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา และการแผ่เมตตาเอง ก็คือการส่งความรัก ความปราถนาดีไปยังผู้อื่น เป็นสิ่งที่เราชาวพุทธควรปฏิบัติอยู่แล้วในทุกๆวัน ให้คิดภาพเวลาที่เราต่อเทียน ยิ่งต่อก็ยิ่งสว่างไปทั่ว บุญของเราไม่มีวันหมด ยิ่งให้ยิ่งได้

บทแรก "บทปัตติทานะคาถา" สวดสำหรับตอนทำวัตรเช้า บทนี้น่าจะมาจากครูบาจารย์ เพราะยังไม่เห็นหลักฐานอ้างอิงว่ามาจากพระไตรปิฎก (ถ้าผิดพลาดประการใดฝากคุณๆแก้ไขให้เลย)

บทปัตติทานะคาถา

( นำ ) หันทะมะยัง  ปัตติทานะคาถาโย  ภะณามะ เส  ฯ

( รับ ) ยาเทวะตา สันติ  วิหาระวาสินี ถูเป  ฆะเร โพธิฆะเร  ตะหิง  ตะหิง
ตา ธัมมะทาเนนะ ภะวันตุ  ปูชิตา โสตถิ กะโรนเตธะ วิหาระมัณฑะเล
เถรา  จะ มัชฌา  นะวะกา จะ ภิกขะโว สารามิกา  ทานะปะตี  อุปาสะกา
คามา จะ เทสา นิคะมา  จะ อิสสะรา สัปปาณะภูตา  สุขิตา ภะวันตุ  เต
ชะลาพุชา  เยปิ  จะ อัณฑะสัมภะวา สังเสทะชาตา  อะถะโวปะปาติกา
นิยยานิกัง  ธัมมะวะรัง  ปะฏิจจะ  เต สัพเพปิ  ทุกขัสสะ  กะโรนตุ  สังขะยัง  ฯ
ฐาตุ  จิรัง สะตัง ธัมโม  ธัมมัทธะรา จะ ปุคคะลา สังโฆ โหตุ  สะมัค โค วะ   อัตถายะ จะ หิตายะ จะ
อัมเห  รักขะตุ สัทธัมโม  สัพเพปิ ธัมมะจาริโน วุฑฒิง  สัมปาปุเณยยามะ  ธัมเม  อะริยัปปะเวทิตา  ฯ
ปะสันนา  โหนตุ  สัพเพปิ  ปาณิโน  พุทธะสาสะเน สัมมา  ธารัง ปะเวจฉันโต  กาเล เท โว ปะวัสสะตุ
วุฑฒิภาวายะ  สัตตานัง  สะมิทธัง  เนตุ  เมทะนิง มาตา  ปิตา  จะ  อัตระชัง  นิจจัง รักขันติ  ปุตตะกัง
เอวัง  ธัมเมนะ  ราชาโน  ปะชัง  รักขันตุ  สัพพะทา ฯ

คำแปล

เทพยดาทั้งหลายเหล่าใด มีปกติอยู่ในวิหาร สิงสถิตที่เรือนพระสถูป ที่เรือนโพธิ์ ในที่นั้น ๆ เทพยดาทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้อันเราทั้งหลายบูชาแล้วด้วยธรรมทาน ขอจงทำซึ่งความสวัสดี ความเจริญในมณฑลวิหารนี้

พระภิกษุทั้งหลายที่เป็นเถระก็ดี ที่เป็นปานกลางก็ดี ที่เป็นผู้บวชใหม่ก็ดี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ที่เป็นทานาธิบดีก็ดี พร้อมด้วยอารามิกชนก็ดี ชนทั้งหลายเหล่าใด ที่เป็นชาวบ้านก็ดี ที่เป็นชาวต่างประเทศก็ดี ที่เป็นชาวนิคมก็ดี ที่เป็นอิสระ เป็นใหญ่ก็ดี ขอชนเหล่านั้นจงเป็นผู้มีสุขเถิด

สัตว์ทั้งหลายที่เป็นชลาพุชะกำเนิดก็ดี ที่เป็นอัณฑชะกำเนิดก็ดี ที่เป็นสังเสทะชะกำเนิดก็ดี ที่เป็นอุปะปาติกะกำเนิดก็ดี สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นได้อาศัยซึ่งธรรมอันประเสริฐเป็นนิยานิกธรรม ประกอบในอันนำผู้ปฏิบัติให้ออกไปสังสารทุกข์ จงกระทำซึ่งความสิ้นไปพร้อมแห่งทุกข์เถิด

ขอธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายจงตั้งอยู่นาน ขอบุคคลทั้งหลายผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมจงดำรงอยู่นาน ขอพระสงฆ์จงมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ในอันทำซึ่งประโยชน์และสิ่งอันเกื้อกูลเถิด ขอพระธรรมจงรักษาไว้ซึ่งเราทั้งหลาย แล้วจงรักษาไว้ซึ่งบุคคลผู้ประพฤติซึ่งธรรมแม้ทั้งปวง ขอเราทั้งหลายพึงถึงพร้อมซึ่งความเจริญในธรรม ที่พระอริยเจ้าประกาศไว้แล้ว

ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ขอฝนทั้งหลายจงหลั่งลงตกต้องตามฤดูกาล ขอฝนจงนำความสำเร็จมาสู่พื้นปฐพี เพื่อความเจริญแก่สัตว์ทั้งหลาย มารดาและบิดา ย่อมรักษาบุตรที่เกิดในตนเป็นนิจ ฉันใด ขอพระราชาจงปกครองประชาชนโดยชอบธรรมในกาลทุกเมื่อฉันนั้น ตลอดกาล

                                         --------------------------------------

และบทที่ 2 นั่นคือ "บทกะระณียะเมตตะสุตตัง" บทนี้สวดตอนกลางคืน ก่อนนอน เล่าประวัติสักนิดแล้วกัน เรื่องมีว่า สมัยหนึ่งจวนเข้าพรรษา ภิกษุจำนวนหนึ่งกราบทูลลาพระพุทธเจ้า เพื่อไปอยู่จำพรรษาในป่าลึกแห่ง เหล่ารุกขเทวดาคิดว่าพระคุณเจ้าคงพักชั่วคราว ไม่กี่วันก็จะไป จึงพากันลงมาอยู่บนพื้นดินเพื่อถวายความเคารพแก่พระสงฆ์

แต่เมื่อรู้ว่าพระคุณเจ้าจะอยู่ที่ป่านี้ตลอดพรรษา จึงปรึกษากันว่าพวกเราเห็นจะต้อง "ขับไล่" พระท่านไป ไม่เช่นนั้นจะลำบากมากที่จะต้องมาอยู่บนพื้นดินอย่างนี้ จึงพร้อมใจกันหลอกหลอนภิกษุที่ไปนั่งกรรมฐานอยู่ใต้ต้นไม้บ้าง ในถ้ำบ้าง จนท่านอยู่ไม่เป็นสุข เพราะเป็นพระก็ไม่ได้หมายความว่าไม่กลัวผี จึงตกลงกันกลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ

พระพุทธองค์ตรัสว่า "พวกเธอมิได้เอาอาวุธติดตัวไปด้วย จึงถูกผีหลอกหลอน" เมื่อกราบทูลถามว่า อาวุธชนิดไหน พระองค์ก็ตรัสว่า อาวุธคือความเมตตา ว่าแล้วก็ทรงสวดกรณียเมตตสูตรให้ฟัง แล้วมีพุทธบัญชาให้กลับไปยังป่านั้นอีก และให้สวดทันทีที่เดินเข้าป่า และสวดทุกวัน

ภิกษุเหล่านั้นก็ทำตามพุทธโอวาท บรรดาผีสางคางแดงทั้งหลายได้ยินบทสวด ก็มีจิตใจอ่อนโยน รักใคร่ในพระสงฆ์ ไม่หลอกหลอน ทำให้ท่านสามารถอยู่ในป่าได้อย่างผาสุก พระภิกษุได้สัปปายะ เจริญธรรมสำเร็จอรหันตผลถ้วนทั่วกัน

เพราะเหตุว่าเนื้อหาของบทสวดเป็นการแผ่เมตตาความรัก ปรารถนาดีแก่เหล่าเทวดาในป่าและแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายซึ่งท่านก็จะมีไมตรีจิตตอบและถวายการอารักขาให้ผาสุก





บทกะระณียะเมตตะสุตตัง

(นำ) หันทะ มะยัง ปัตติทานะ คาถา โย ภะณามะ เส ฯ

(รับ) ยา เทวะตา สันติ วิหาระวาสินี
ถูเป ฆะเร โพธิฆะเร ตะหิง ตะหิง ตา ธัมมะทาเนนะ ภะวันตุ ปูชิตา
โสตถิง กะโรนเตธะ วิหาระมัณฑะเล เถรา จะ มัชฌา นะวะกา จะ ภิกขะโว
สารามิกา ทานะปะตี อุปาสะกา คามา จะ เทสา นิตะมา จะ อิสสะรา
สัปปาณะภูตา สุขิตา ภะวันตุ เต ชะลาพุชา เยปิ จะ อัณฑะสัมภะวา
สังเสทะชาตา อะถะโวปะปาติกา นิยยานิกัง ธัมมะวะรัง ปะฏิจจะ เต
สัพเพปิ ทุกขัสสะ กะโรนตุ สังขะยัง ฯ ฐาตุ จิรัง สะตัง ธัมโม
สังโฆ โหตุ สะมัคโค วะ อัมเห รักขะตุ สัทธัมโม วุฑฒิง สัมปาปุเณยยามะ
ปะสันนา โหนตุ สัพเพปิ สัมมา ธารัง ปะเวจฉันโต วุฑฒิภาวายะ สัตตานัง
มาตา ปิตา จะ อัต์ระชัง เอวัง ธัมเมนะ ราชาโน ธัมมัทธะรา จะ ปุคคะลา
อัตถายะ จะ หิตายะ จะ สัพเพปิ ธัมมะจาริโน ธัมเม อะริยัปปะเวทิเต ฯ
ปาณิโน พุทธะสาสะเน กาเล เทโว ปะวัสสะตุ สะมิทธัง เนตุ เมทะนิง
นิจจัง รักขันติ ปุตตะกัง ปะชัง รักขันตุ สัพพะทา ฯ

แปล

กิจอันใดอันพระอริยเจ้า บรรลุบทกระทำบำเพ็ญแล้ว กิจอันนั้น กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์พึงกระทำบำเพ็ญ กุลบุตรนั้นพึงเป็นผู้อาจหาญ ซื่อตรง เป็นผู้ว่าง่าย อ่อนโยน ไม่เย่อหยิ่ง เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้เลี้ยงง่าย เป็นผู้มีกิจธุระน้อย ประพฤติเบากายจิต เป็นผู้มีอินทรีย์อันสงบระงับแล้ว มีปัญญา เป็นผู้ไม่คะนอง ไม่พัวพันในสกุลทั้งหลาย วิญญูชน ติเตียนชนอื่นทั้งหลายได้ด้วยกรรมอันใด ไม่พึงประพฤติกรรมอันนั้นเลย

ขอสัตว์ทั้งปวง จงเป็นผู้มีสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์มีชีวิตทั้งหลาย เหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่ ยังเป็นผู้สะดุ้ง(คือมีตัณหา) หรือเป็นผู้มั่นคง (ไม่มีตัณหา) ทั้งหมดไม่เหลือ เหล่าใดเป็นทีฆชาติหรือโตใหญ่ หรือปานกลาง หรือต่ำเตี้ย หรือผอม หรืออ้วนพี เหล่าใดที่เราเห็นแล้ว หรือมิได้เห็นก็ดี ที่เกิดแล้ว หรือกำลังแสวงหาภพอยู่ก็ดี ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น จงเป็นผู้มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์อื่นไม่พึงข่มเหงสัตว์อื่น ไม่พึงดูหมิ่นอะไรๆ เขา ในที่ใดๆ เลย

ไม่ควรปรารถนาทุกข์แก่กันและกัน เพราะความกริ้วโกรธ หรือความคุมแค้น มารดาถนอมบุตรคนเดียวผู้เกิดในตน ด้วยยอมสละชีวิตของตนได้ ฉันใด พึงเจริญเมตตา มีในใจ ไม่มีประมาณ ในสัตว์ทั้งหลาย แม้ฉันนั้น บุคคลพึงเจริญเมตตา มีในใจ ไม่มีประมาณ ไปในโลกทั้งสิ้น ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง เป็นธรรมอันไม่คับแคบ ไม่มีเวร ไม่มีศัตรู

ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น ยืนอยู่ก็ดี เดินไปก็ดี นั่งแล้วก็ดี นอนแล้วก็ดี เป็นผู้ปราศจากความง่วงนอนเพียงใด ก็ตั้งสติอันนั้นไว้เพียงนั้น บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวกิริยาอันนี้ว่า เป็นพรหมวิหารในพระศาสนานี้ บุคคลผู้มีเมตตา ไม่เข้ายึดถือทิฏฐิ เป็นผู้มีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยทัศนะ ( คือโสดาปัตติมรรค) นำความหมกมุ่นในกามทั้งหลายออก ย่อมไม่ถึงความนอน(เกิด) ในครรภ์อีก โดยแท้ทีเดียว









วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

แก้กรรมทำแท้ง



สำหรับผู้ที่เคยทำแท้งจะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ได้เข้ามาอ่านผู้เขียนจะถือว่าคุณมีเจตนาดี เพราะอย่างน้อยคุณก็มีจิตใจอยากจะทำในสิ่งที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะแค่เรามีเจตนาดีก็ถือว่าใจเราอยู่ในบุญในกุศลแล้ว

มาพูดถึงเรื่องแก้กรรมกันก่อน  อันที่จริงแล้วในทางพุทธศาสนา หากว่ากันหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่านไม่มีตรัสไว้เรื่องของการแก้กรรม กรรมก็คือ การกระทำ และการกระทำใดๆที่ได้ทำลงไปแล้ว ก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ (แล้วจะให้เข้ามาอ่านทำไม ลองอ่านต่อ)

ครูบาอาจารย์ได้เปรียบเทียบเรื่องของ บุญ-กรรม ไว้ดังนี้ ท่านบอกว่ากรรม ก็เหมือนเกลือ สมมติว่าเรามีเกลืออยู่ 1 กำมือ หากว่าเราไม่อยากให้เกลือมันส่งรสเค็ม เราก็เอาเกลือไปละลายน้ำสะอาด (เปรียบน้ำสะอาดเป็นการสร้างบุญกุศล) เกลือ 1 กำมือ ละลายในน้ำสะอาดเพียง 1 แก้ว แน่นอนว่ามันยังคงเค็ม แต่ถ้าเราเพิ่มน้ำสะอาดเป็น 1 โอ่ง 2 โอ่ง ยิ่งเติมน้ำสะอาดลงไปมากขึ้น เราจะพบว่าเกลือยิ่งเค็มน้อยลง มากๆเข้าก็ไม่รู้สึกเค็มเลย ใครลองเอาเกลือ 1 กำมือ ไปละลายในสระน้ำ แล้วลองชิมดูจะพบว่าน้ำในสระไม่มีเปลี่ยนรสเลย

วิธีวางใจสำหรับคนที่ทำผิดพลาดไปแล้ว ก็คือ

1. สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วจบไป บนโลกนี้มีความเกิดดับให้เห็นอยู่ทุกขณะ ตอนนี้หายใจเข้า เดี๋ยวก็ต้องหายใจออก ตอนนี้กลางคืน เดี๋ยวก็เช้า ถ้าใครสังเกตุแม้แต่ความสุขหรือความทุกข์ก็อยู่กับเราไม่นาน มีความเกิดดับเป็นธรรมดา

2. สำนึกผิดแล้ว หยุด..ไม่ทำซ้ำอีก! แม้แต่ความคิดก็ไม่จำเป็นต้องคิดซ้ำ เพราะเอาเรื่องไม่ดีมาคิดซ้ำเป็นการทำร้ายตัวเอง เบียดเบียนตัวเอง ถ้าเราคิดเรื่องไม่ดีซ้ำๆ ทั้งที่เรื่องมันจบไปแล้ว ถามว่าใครกันที่เป็นคนเจ็บ ?? คำตอบก็คงไม่พ้นตัวเราเอง

** จำไว้ว่าหัวของเราก็เหมือนเครื่องเล่น DVD ถ้าคุณรู้แล้วว่าหนังเรื่องไหนที่มันไม่สนุก คุณกด stop โยนแผ่นทิ้ง แล้วเลือกเล่นหนังที่สนุก ที่คุณชอบให้ตัวเองได้ ชีวิตก็เหมือนกัน

3. ให้อภัยตัวเอง ให้อภัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้อภัยทุกอย่างที่เป็นสาเหตุ ความไม่พร้อม ความรู้เท่าไม่ถึงการ ความประมาท ความมักง่าย ให้อภัยคนที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้ ให้อภัยทุกสถานการณ์ ทุกผู้คน เพราะความรู้สึกผิด และความโกรธจะทำให้คุณต้องทำผิดซ้ำๆอีกไม่มีวันจบ

4. อยู่กับปัจจุบัน อดีตจบ..ทำปัจจุบันให้ดี ตั้งจิตปวารณาตัวทำแต่ความดี ประกอบสัมมาอาชีพที่ดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ขัดต่อหลักศีลธรรม ได้เงินมา**แบ่งเงินเป็น 4 กอง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า กตัญญูต่อพ่อแม่ ทำบุญ ทำทาน ปล่อยชีวิตสัตว์ บ่อยๆ สวดมนต์นั่งสมาธิแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลทุกวัน ง่ายๆ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เอาให้ครบ อย่าให้ขาด แล้วตามด้วย คิดดี พูดดี ทำดี ให้คิดว่ามันคือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา มันทำง่ายมากทั้งหมดที่เขียนมา

5. มีความสุขความปิติกับชีวิตในปัจจุบันได้ ให้ใจให้กายของตัวเองอยู่ในบุญในกุศล อย่าเอาอดีตมาตัดสินว่าเราเคยทำในสิ่งที่ไม่ดี เราจะไม่สามารถมีความสุข หรือมีอนาคตที่ดีได้ คุณมีอนาคตที่ดีได้แน่นอน ประสบความสำเร็จในชีวิตได้แน่นอน มีครอบครัวที่อบอุ่นอยู่พร้อมหน้าคนที่รักได้แน่นอน แต่ตอนนี้วางใจให้เป็นก่อน ทำปัจจุบันให้ดีอนาคตย่อมดีตาม

** เงิน 4 กองตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แบ่งออกเป็นเท่ากัน

กองที่ 1 เก็บสะสมไว้ใช้ยามขัดสน
กองที่ 2 ใช้จ่ายเพื่อทดแทนผู้มีพระคุณ
กองที่ 3 ใช้เพื่อความสุขส่วนตัว
กองที่ 4 ใช้เพื่อสร้างสรรค์ความดีงามให้แก่สังคม ทำบุญ